โรคไวรัสตับอักเสบ
บี Hepatitis B คืออะไร
โรคตับอักเสบ บี
เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบ
บีโดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ
โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
เชื้อไวรัสตับอักเสบติดต่อได้อย่างไร
เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
สามารถติดต่อทาง เลือด
น้ำเชื้อ
และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น
น้ำเหลือง
ท่านสามารถรับเชื้อได้โดยวิธี
- มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง
การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
(ที่มาhttp://www.siamhealth.net)
- ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน
และการเจาะหู
- ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน
มีดโกน ที่ตัดเล็บ
- แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด
ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ
90 %และให้นมตัวเอง
- ถูกเข็มตำจากการทำงาน
- รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
- โดยการสัมผัสกับ
เลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง
โยผ่านเข้าทางบาดแผล
เชื้อนี้จะไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ อาหาร หรือน้ำดื่ม การให้นม การจูบกัน
อาการของผู้ป่วยโรคตับอักเสบ
บี
อาการจะเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ
45-90 วัน บางรายอาจจะนานถึง 180
วันผู้ป่วยที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการอ่อนเพลีย
เบื่ออาหาร ปวดตามตัวมีไข้ แน่นท้อง
ถ่ายเหลวเป็นอยู่ 4-15
วันหลังจากนั้นจะมี
ตัวเหลืองตาเหลือง
ปัสสาวะสีเข็ม
อาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไปภายใน
1-4 สัปดาห์บางรายอาจเป็นนานถึง
6 สัปดาห์
จึงสามารถทำงานได้ปกติ
ผลของการเป็นไวรัสตับอักเสบ
บี
หลังจากเป็นไวรัสตับอักเสบ
บีจะมีการดำเนินของโรคดังนี้
- 90%ของผู้ป่วยหายขาดกล่าวคือภายใน
10
สัปดาห์การทำงานของตับกลับสู่ปกติ
และมีภูมิคุ้มกัน
- ผู้ป่วยส่วนหนึ่งตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี HbAg +
แต่การทำงานของตับปกติ
พวกนี้สามารถติดต่อผู้อื่นเรียก
carrier
- 5-10%จะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
Chronic hepatitis
ผู้ป่วยกลุ่มนี้เจาะเลือดจะพบการทำงานของตับผิดปกติเป็นเวลาอย่างน้อย
6
เดือนและยังตรวจพบเชื้อตลอด
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการอักเสบของตับเป็นระยะๆ
บางรายเป็นตับแข็ง
บางรายเป็นมะเร็งตับ
ท่านไม่มีอาการ แต่ท่านเป็นไวรัสตับอักเสบได้
ผู้ที่เป็นภาหะของโรคนี้จะไม่แสดงอาการให้เห็น
ทำให้ไม่ทราบว่ามีเชื้อตัวนี้อยู่ในร่างกายซึ่งอาจจะส่งผลเสียทำให้นำเชื้อสู่ผู้อื่น
ดังนั้นก่อนที่จะแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ควรจะหาไวรัสตับอักเสบก่อน
การวินิจฉัย
แพทย์จะเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ วิธีตรวจ |
วัตถุประสงค์ของการตรวจ |
ตรวจการทำงานของตับ |
เพื่อประเมินสภาพตับและความผิดปกติของตับ
ทำให้แพทย์ทราบว่าตับกำลังอักเสบอยู่หรือไม่ |
ตรวจหาอัลฟาฟีโตโปรตีน |
เป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งในตับ |
การตรวจอัลตราซาวน์ตับ |
เป็นการบอกว่าตับเกิดการอักเสบหรือเป็นมะเร็ง |
การตรวจชิ้นเนื้อตับ |
เป็นการบอกความรุนแรงของตับอักเสบ
ตับแข็งและมะเร็งตับ |
การรักษา
ส่วนใหญ่หายเองได้โดยการพักผ่อน
และรับประทานอาหารไม่มัน
การให้ยา interferon หรือ lamivudine
ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
บี
หากท่านติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บี ท่านจะปฏิบัติตัวอย่างไร
เมื่อท่านตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
ท่านควรจะขอรับคำแนะนำจากแพทย์ในการดูแลตัวเอง
และต้องคำนึงถึงบุคคลใกล้ชิดด้วยเพราะท่านอาจจะนำเชื้อไปสู่คนใกล้ชิด
วิธีการปฏิบัติตัวหากท่านมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
- หากท่านเป็นตับอักเสบ บี
ท่านไม่ต้องกังวลเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองและมีภูมิคุ้มกัน
- รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ
เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับท่านมีการอักเสบมากหรือน้อย
- บอกให้คนใกล้ชิดทราบ
หากคนใกล้ชิดไม่มีภูมิหรือเชื้อต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบ
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยาง
- อย่าบริจาคเลือด
- ไม่ดื่มสุราของมึนเมา
- ไม่ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
การป้องกันการรับเชื้อ สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการติดต่อดังกล่าวเบื้องต้น (ที่มาhttp://www.siamhealth.net)
|