วรัสตับอักเสบ ซี Hepatitis C
ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับไวรัสตับอักเสบ
บี
แต่ถ้าท่านติดตามโรคตับอักเสบท่านจะพบว่าไวรัสตับอักเสบ
ซีเพิ่มขึ้นเนื่องจากพบได้บ่อยมากขึ้น
พบได้ประมาณ 1-2% ของคนที่มาบริจาคเลือด
หลังเป็นตับอักเสบแล้วก็มีแนวโน้มจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง 20%
ของผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังชนิด
ซี จะเป็นตับแข็งภายใน 10-20 ปี
บางส่วนกลายเป็นมะเร็งตับ
ปัจจัยเสี่ยงและการติดต่อ
ไวรัสตับอักเสบ ซี
ติดต่อทางเลือด
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
แต่มีผู้ป่วยบางท่านได้รับเชื้อโดยไม่ทราบแหล่งที่มาปัจจัยเสี่ยงได้แก่
- ผู้ที่เคยได้รับเลือด และ
สารเลือดก่อนปี คศ 1992
เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
- เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุถูกเข็มตำ
- ผู้ป่วยติดยาเสพติดใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบ ซี
พบได้ร้อยละ 5
- ผู้ที่สำส่อนทางเพศ หรือ
รักร่วมเพศ
- ไดรับเชื้อจากการสักตามตัว
กิจกรรมต่อไปนี้ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
- การให้นมบุตร
- การจามหรือไอ
- อาหารหรือน้ำ
- การใช้ถ้วยชามร่วมกัน
อาการของผู้ป่วย
ผู้ที่เป็นตับอักเสบ ซี
เรื้ออาจจะไม่มีอาการ
หรือมีอาการแต่ไม่มาก
อาการที่พบได้คือ
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดชายโครงขวา
- ปวดกล้ามเนื้อและ ปวดข้อ
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเรื้อรังและกลายเป็นตับแข็งจะมีอาการ
- ตับ ม้ามโต
- ตัวเหลืองตาเหลือง
- กล้ามเนื้อลีบ
- ท้องมาน
- เท้าบวม
การเจาะเลือดตรวจ
- Anti-HCVโดยวิธี enzyme immunoassay (EIA) ถ้าเจอแสดงว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ
ซี
- HCV RNA โดยวิธี polymerase chain reaction
(PCR)
ถ้าให้ผลบวกแสดงว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ
ซี
- เจาะเลือดตรวจการทำงานของตับพบว่ามีการอักเสบของตับ
- บางรายต้องตรวจโดยการเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อการวินิจฉัย
การวินิจฉัย
- ไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน
โดยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับพบว่ามีการอักเสบ
และตรวจพบ Anti-HCV หรือ HCV-RNAในเลือด
บางรายที่ตรวจไม่เจอในระยะแรกอาจจะต้องตรวจซ้ำอีก
2-8 สัปดาห์
- ตับอักเสบเรื้อรัง ซี
วินิจฉัยโดยพบว่ามีการอักเสบของตับมากกว่า
6 เดือนร่วมกับการตรวจพบ HCV -RNA
การรักษา
- โดยการให้ alpha interferon
- ให้ยาสองขนานคือ alpha interferon and
ribavirin.
- ควรไดรัการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ
เอ และ บี
ผู้ป่วยไวรัสตับอัเสบ
ซีรายใดที่ควรได้รับการรักษา
- มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี และ มีการเพิ่มของ SGOT,SGPT
และผลการเจาชิ้นเนื้อตับพบว่ามีการอักเสบ
และไม่มีข้อห้ามการให้ยา
- ผู้ป่วยที่มีตับแข็งต้องไม่มี
ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องมาน
เส้นเลือดในหลอดอาหารโป่งพอง
- อายุ
น้อยกว่า60 ปี
ผู้ป่วยไวรัสตับอัเสบ
ซีรายใดที่ไม่ควรได้รับการรักษา
- โรคตับแขงและมีโรคแทรกซ้อน
- ผลเลือด
SGOT,SGPT ปกติ
- มี
ตับ ไต หัวใจวาย
- มีข้อห้ามในการให้ยา
ข้อห้ามในการให้ยา
interferon
ผู้ป่วยซึมเศร้า
ติดยา ติดสุรา autoimmune disease
โรคไขกระดูก
ไม่สามารถคุมกำเนิด
ผลข้างเคียงของยา
interferon
ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนไข้หวัด
ไข้ ปวดตามตัว
ปวดหัวในระยะแรก
ระยะหลังอาจมีอาการเหนื่อยหอบ
ผมร่วง เม็ดเลือดขาวต่ำ
ซึมเศร้า
จะมีผู้ป่วยจำนวนน้อยที่เกิดอาการข้างเคียงอย่างรุนแรง
เช่น โรคธัยรอยด์ ชัก หัวใจ
และไตวาย
นอกจากนั้นยังทำให้ตับอักเสบด้วย
วิธีป้องกันตับไวรัสอักเสบ
ซี
- ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ให้สวมถุงมือถ้าต้องสัมผัสเลือด
- ห้ามใช้มีดโกนหนวด
แปรงสีฟันร่วมกัน
- ห้ามใช้อุปกรณ์ในการสักร่วมกัน
- ให้ใช้ถุงยางคุมกำเนิดถ้าหากมีเพศสัมพันธ์หลายคน
- ถ้าคุณเป็นตับอักเสบ
ซีห้ามบริจาคเลือด
ใครควรได้รับการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
- ผู้ป่วยที่ฉีดยาเสพติดเข้าเส้น
- ผู้ป่วยที่เคยได้เลือด
และสารประกอบของเลือดก่อนปี
คศ.1992
- ผู้ป่วยที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
- ผู้ป่วยที่เจาะเลือดพบว่ามีตับอักเสบ
- เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ถูกเข็มตำ
- เด็กที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
หากท่านมีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
แพทย์จะวางแผนการรักษาอย่างไร
ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
บางรายเมื่อตรวจเลือดจะพบว่าค่า
SGOT,SGPT
ปกติแพทย์จะนัดตรวจเลือดอีกครั้ง
6-12 เดือน
คนท้องสมควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบ
ซีหรือไม่
ไม่ควรเนื่องจากคนท้องไม่ได้มีแัตราการติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป
นอกจากว่าคนนั้นจะมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว
เด็กที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ซี
สมควรเจาะเลือดหาเชื้อหรือไม่
ไม่ควรเจาะก่อนอายุ
12
เดือนเนื่องจากเชื้อจากแม่ยังไม่หมด
ผู้ป่วยที่มีไวรัสตับอักเสบ
ซี
จะป้องกันการอักเสบของตับอย่างไร
- งดสุรา
- พบแพทย์ตามนัด
- ก่อนใช้ยา
หรือสมุนไพรควรปรึกษาแพทย์
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
เอ บี
(ที่มา http://www.siamhealth.net)
|